วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง อันตรายถึงตาย จริงหรือมั่วนิ่ม?

เห็นแชร์กันเยอะมากเรื่องกินลิ้นจี่แล้วตาย บทความนี้ผมจะสรุปให้ฟังว่ากินแล้วตายจริงไหม แต่ถ้าอยากอ่านเต็มๆถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ดังกล่าว อ่านที่ลิ้งนี้นะครับ >>> http://www.jaslynsense.com/บทความสุขภาพ/ท้องว่าง-ลิ้นจี่-อันตราย/

เรื่องกินลิ้นจี่ตอนท้องว่างแล้วตาย เริ่มมาจากเด็กในบางพื้นที่ของอินเดีย เวียดนาม บังคลาเทศ ป่วยและตายปริศนา สืบไปสืบมาเค้าพบว่ามีสาร hypoglycin A ในเลือดของผู้ป่วย ทำให้น้ำตาลต่ำ ชัก บางรายถึงกับเสียชีวิต ซึ่งสาร hypoglycin A พบในลิ้นจี่ แล้วก็ตรงกับการซักประวัติด้วยว่า เด็กมักจะกินลิ้นจี่ในวันก่อนเริ่มมีอาการ เค้าก็ศึกษา และตีพิมพ์เป็นงานวิจัยอย่างดีนั่นแหละครับ แต่ดันไปมีสำนักข่าวเห็น แล้วก็เขียนข่าวซะใหญ่โต ว่ากินลิ้นจี่แล้วตาย คนก็แชร์กันเพียบเลยทีนี้ ไม่มีใครกล้ากินลิ้นจี่เลย คือข่าวเขียนน่ะ ก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่ข่าวเขียนไม่หมด ไม่อธิบายใช้ชัดเจน ถ้าเป็นระดับนักวิจัย หรือคนในวงการแพทย์อ่านงานวิจัยพวกนี้ เค้าจะเข้าใจว่าเป็นยังไง ข้อจำกัดมันคืออะไร แต่ถ้าคนธรรมดาไปอ่านแล้วตีความไปเลยว่า กินลิ้นจี่ตอนท้องว่างทำให้ตายนี่ มันออกจะ overestimate ไปหน่อย

คือ มันเป็นอย่างนี้ครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า งานวิจัยนี้ มันบอกเราแค่ว่า ในลิ้นจี่มีสารพิษที่ทำให้น้ำตาลต่ำ และอาจเสียชีวิตได้ แต่มันมีเงื่อนไขอีกเยอะครับ ซึ่งตรงนี้ข่าวไม่ได้บอกไว้ ดังนี้

อย่างแรก ลิ้นจี่แต่ละลูก มีปริมาณสารพิษไม่เท่ากัน บางลูกมีมาก บางลูกมีน้อย

อย่างที่สอง ทุกคนที่ป่วยตายล้วนเป็นเด็กที่ขาดสารอาหาร ซึ่งคนที่เค้าขาดสารอาหารเนี่ย ทั้งพลังงานสำรอง ทั้งระดับน้ำตาลในเลือด เค้าต่ำและไม่พออยู่แล้ว พอระดับน้ำตาลในเลือดเค้าตกไปอีก พลังงานสำรองก็ไม่พอจะชดเชย ทำให้อาการหนัก

อย่างที่สาม เด็กที่ป่วย ไม่ได้กินแค่ลูก สองลูก แต่มักหายไปทั้งวัน กินลิ้นจี่จนพุงกาง บางคนอิ่มขนาดไม่ยอมทานข้าวเย็น

อย่างที่สี่ ไม่ใช่เด็กทุกคนที่มีอาการ บางคนกินเข้าไปเยอะ แต่ไม่มีอาการอะไรเลยก็มี อย่างที่บอกไปตั้งแต่ข้อแรกว่า ลิ้นจี่แต่ละลูกก็มีสารพิษดังกล่าวไม่เท่ากัน บางลูกมาก บางลูกน้อย และลิ้นจี่เองก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ให้พลังงานมากเช่นกัน

เพราะฉะนั้น 4 ประเด็นนี้ น่าจะพอมองออกแล้วนะครับ ว่าสามารถกินลิ้นจี่ได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า

สำหรับคำแนะนำ เพื่อการทานลิ้นจี่อย่างปลอดภัยมีดังนี้ครับ
  1. อย่ากินลิ้นจี่ดิบ เพราะลิ้นจี่ดิบมีสารพิษมากกว่าผลสุกหลายเท่าตัว
  2. อย่ากินเยอะเกิน กินเล่นๆเป็นผลไม้ได้ แต่อย่าทานเยอะถึงขนาดอิ่มจนไม่ทานมื้อหลัก หรือวันทั้งวันกินแต่ลิ้นจี่
  3. ถ้าเป็นคนขาดสารอาหารอยู่แล้ว ไม่ควรทานครับ
ปล.อย่าลืมว่าลิ้นจี่มีน้ำตาลเยอะ + ปริมาณสาร hypoglycin A ในแต่ละลูกก็มีไม่เท่ากัน ดังนั้น กินเพื่อรักษาเบาหวานไม่ได้ครับ ดีไม่ดี อาจได้น้ำตาลสูงเป็นของแถมด้วย

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

ว่านหางจรเข้ดีต่อผิวอย่างไร

ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายขนิด เราจะพบว่ามีส่วนผสมของว่านหางจรเข้ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงและฟื้นฟูผิว แต่เค้าจะไม่ได้เขียนว่าใส่ว่านหางจรเข้หรอก เค้าจะเขียนเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aloe vera 

ในสมัยโบราณ จะมีการใช้ส่วนวุ้นใสๆของว่านหางจรเข้ในการรักษาอาการ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผิวบวมอักเสบ พอมาถึงปัจจุบันจึงพบว่าสารที่ใช้รักษาอาการดังกล่าวคือ Aloctin A และ Aloctin B

ปัจจุบันว่านหางจรเข้ถูกใช้เป็นยาและใส่ใน skin care หลายชนิด เนื่องจากว่านหางจรเข้มีประโยชน์หลายอย่าง หากใช้เป็นยา ก็ยังใช้สำหรับรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แต่หากเป็นใน skin care ก็มีทั้ง ลดเลือนจุดด่างดำ กระตุ้นการซ่อมแซมผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวจากแสงแดด นอกจากนี้ยังช่วยให้แผลจากสิวหายเร็วขึ้นอีกด้วย

ว่านหางจรเข้นับเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ แต่พอศึกษาวิจัยแล้ว ก็พบว่าว่านหางจรเข้มีประโยชน์ดีๆอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะฤทธิ์ในการสมานแผล และลดการอักเสบ ซึ่งเป็นฤทธิ์ที่เด่นที่สุดของว่านหางจรเข้ อย่างไรก็ตามหากนำว่านหางจรเข้ไปใช้กับบาดแผล มีเงื่อนไขว่า แผลนั้นต้องไม่ใช่แผลติดเชื้อนะครับ

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

งานวิจัยพบ "ขิง" ช่วยลดอาการเมารถได้

ในช่วงปีใหม่ที่ต้องเดินทางกันนานๆนี้ หลายคนอาจมีอาการเมารถกันได้ ซึ่งใครที่มีอาการเมารถมากๆก็ต้องพึ่งยาอย่าง Dimenhydrinate ในการช่วยแก้อาการเมารถ

ยา Dimenhydrinate เป็นยาในกลุ่มยาแก้แพ้ ออกฤทธิ์ที่อวัยวะควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน ทำให้แก้อาการเมารถได้ อย่างไรก็ตามยาตัวนี้มีอาการข้างเคียงคือทำให้ง่วงมาก ดังนั้นคนขับรถกินไม่ได้แน่นอน

แต่อย่าพึ่งหมดหวังไป งานวิจัยเรื่อง Effects of ginger on motion sickness and gastric slow-wave dysrhythmias induced by circular vection ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Physiology พบว่าการรับประทานขิงปริมาณ 1 - 2 กรัม ช่วยป้องกันอาการเมารถ เมาเรือและลดระดับความรุนแรงของการอาเจียนได้ โดยคาดว่าขิงสามารถลดการอาเจียนได้จาก 2 กลไกคือ ลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร (gastric dysrhythmias) และ ลดระดับของฮอร์โมนวาโสเพรสซิน (vasopressin) ในเลือด

จากงานวิจัยนี้ เพื่อนฝรั่งที่ไม่ชอบกินยา Dimenhydrinate ถึงกับบอกว่า ไม่ต้องกินยาหรอก กินขิงแคปซูลดีกว่า แต่ผมว่าบ้านเรา ขิงสดๆ กับน้ำขิง น่าจะหาง่ายกว่า ขิงอัดแคปซูลนะครับ

สรุปแล้ว การทานขิงหรือน้ำขิง ก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีอาการเมารถ แต่ไม่อยากทานยา หรือมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทานยาตัวนี้ได้ เช่น อาจต้องรับหน้าที่เป็นคนขับรถในช่วงปีใหม่นี้นะครับ